วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ชุดพื้นฐาน นีโอไลฟ์ (Neolife)





หยงฟงจิ่ว บำบัด ภาวะไตอ่อนแอ...สัญญาณอันตรายของสุขภาพ


โรคไต ภาวะไตอ่อนแอ ปัสสาวะบ่อย นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง ฯลฯ สารพัดอาการที่ต้อง "บำรุงไต"

ไต_ภาวะไตอ่อนแอ

ปัสสาวะบ่อย นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง ฯลฯ

สารพัดอาการที่ต้อง "บำรุงไต

      การแพทย์จีนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นเวลานับพันปี ไม่ว่าทฤษฎีทางด้านกายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา พยาธิวิทยาหรือเภสัชวิทยาของการแพทย์จีนต่างมีความแตกต่างไปจากการแพทย์ตะวันตกอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากพื้นฐานที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจหลักการและวิธีการดูแลสุขภาพในทัศนะการแพทย์จีนได้ง่ายขึ้น เอินเวย์ ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านถอดแว่นของนักวิชาการสมัยใหม่ทิ้งเสีย เพราะหากใช้ทฤษฎีการแพทย์ตะวันตกมาตีความกับการแพทย์จีนแล้วอาจเกิดความสับสนได้...
เรื่องราวของคุณวัลวิภา
      คุณวัลวิภา อายุเพียง 34 ปี มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรังและมึนศีรษะเป็นประจำมาร่วมปี เธอไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลไม่ว่าผลการตรวจเลือดหรือคลื่นแม่เหล็กถ่ายภาพสมอง (MRI)ต่างพบว่าปกติ จึงได้แต่คำแนะนำว่าอย่าเครียดและยาปลอบใจที่ว่าจะช่วยบำรุงร่างกายกลับมาทานที่บ้าน แต่อาการต่างๆก็ไม่เห็นทุเลาลง คุณวัลวิภาจึงต้องไปโรงพยาบาลอีก 2 แห่ง หวังว่าจะได้เจอหมอที่เก่งกว่ารักษาให้หายได้ แต่ผลการตรวจก็ออกมาเหมือนเดิมว่าปกติทุกประการทั้งๆ ที่เธอมีอาการหลายอย่างและรู้สึกไม่สบายมาก สุดท้ายเธอก็หันกลับมาหาหมอคนเดิมและขอให้คุณหมอวินิจฉัยใหม่ จนคุณหมอถามเธอว่า "หมอบอกแล้วว่าคุณไม่ได้เป็นอะไร คุณอยากให้เป็นอะไรหรือไง!?" นอกจากอาการอ่อนเพลียเรื้อรังและมึนศีรษะแล้ว เธอยังมีอีกสารพัดอาการ เช่น ปัสสาวะบ่อยนอนไม่หลับ ขี้หนาว สะดุ้งตื่นเป็นประจำ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ผิวหน้าหมองคล้ำ ผมร่วง เป็นต้น เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณวัลวิภา ???

ภาวะไตอ่อนแอ... สัญญาณอันตรายของสุขภาพ
      คุณอาจมีปัญหาสุขภาพหรือประสบการณ์การรักษาคล้ายกับคุณวัลวิภา เมื่อคุณหมอแผนตะวันตกบอกว่าคนไข้อย่างคุณวัลวิภาเธอไม่ได้เป็นอะไรแล้วคนไข้เหล่านั้นเป็นอะไรกันแน่เกิดจากความเครียดหรืออุปทานไปเองจริงหรือ?! จริงๆแล้วสารพัดอาการของคุณวัลวิภาหากวินิจฉัยตามหลักการแพทย์จีนคือเกิดจากภาวะไตอ่อนแอ ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะของการแพทย์จีนที่ได้มีการบันทึกในตำราการแพทย์มาแล้วนับพันปี หากแพทย์จีนท่านใดวินิจฉัยว่าคุณมีภาวะไตอ่อนแอคุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าคุณเป็นโรคไตและไม่ต้องรีบแย้งกลับไปว่าคุณเพิ่งไปตรวจสุขภาพมา ไตไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าภาวะไตอ่อนแอไม่ใช่โรคไตในความหมายของการแพทย์ตะวันตก หากหมายถึงสภาพไตเสื่อมลง ไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ทำให้สมรรถภาพการขับน้ำและของเสียของไตลดลง ส่งผลกระทบต่อดุลยภาพของอิเล็กโทรไลต์และความเป็นกรดด่างของร่างกาย รวมทั้งเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนชนิดสำคัญที่สร้างจากไตและต่อมหมวกไตด้วย การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย หากไม่มีการบำบัดรักษาอย่างทันท่วงทีก็จะแก่ก่อนวัยและพัฒนากลายเป็นโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน โรคเกาต์ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น หรืออาจพัฒนากลายเป็นไตอักเสบ หรือไตวายได้ในที่สุด
ไตคือรากฐานของชีวิต...
      ไต (รวมทั้งต่อมหมวกไตด้วย) มีบทบาทสำคัญยิ่งในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย การพัฒนาสมอง การสร้างกระดูก การสร้างเม็ดเลือด สมรรถภาพทางเพศ การสืบพันธุ์และความชรา นอกจากนี้ไตยังมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับระบบการทำงานของหัวใจ ปอด ตับ ม้าม ระบบฮอร์โมน ระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ เนื่องจากไตมีหน้าที่สำคัญดังนี้:
      - ขับของเสียออกจากร่างกาย เช่น ของเสียที่มาจากการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ของเสียที่มาจากการเผาผลาญอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
      - ของเสียที่มาจากการใช้ยาสารเคมีหรือสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เป็นต้น 
      - รักษาความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ไตจะทำหน้าที่ควบคุมปริมาณน้ำและระดับความเข้มข้นของเกลือแร่ในร่างกาย เช่น โซเดียมโปแตสเซียมแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เป็นต้น ถ้าไตไม่แข็งแรง ปริมาณน้ำและเกลือแร่ในร่างกายก็จะขาดความสมดุลจนเกิดผลกระทบหรือเป็นอันตราย ต่อร่างกายได้
      - รักษาความสมดุลของสภาพความเป็นกรดและด่าง ไตทำหน้าที่รักษาความเป็นกรดและด่างของร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล เพื่อให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
      - ควบคุมความดันโลหิตของร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติ ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะควบคุมความดันโลหิตในร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าไตทำงานผิดปกติ ความดันโลหิตก็จะสูงผิดปกติ ไตทำหน้าที่ควบคุมและสร้างฮอร์โมนสำคัญหลายชนิด เช่น Erythropoietin ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการกระตุ้นไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง Renin และ Prostaglandin ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการช่วยควบคุมความดันโลหิตในร่างกาย เป็นต้น
      - ไตทำหน้าที่ควบคุมความแข็งแกร่งของกระดูก ไตควบคุมการสร้างวิตามินดี แคลเซียมและฟอสฟอรัส ถ้าไตเสื่อมลงกระดูกก็จะไม่แข็งแรงหรือผุกร่อน รวมทั้งระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดก็อาจผิดปกติจนเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ 
      - การแพทย์จีนจึงเปรียบเสมือนไตเป็นรากฐานของชีวิต และนิยมใช้วิธีบำรุงรักษาไตเพื่อสร้างเสริมสุขภาพหรือบำบัดหลายๆ อาการให้หายพร้อมๆ กัน ทั้งๆ ที่แต่ละอาการดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันในมุมมองของการแพทย์ตะวันตกก็ตาม บำรุงไต บำบัดสารพัดโรค จึงถือเป็นวิทยาการอันล้ำค่าของการแพทย์จีนและมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพของชาวจีนมาโดยตลอดจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีนไปแล้ว
      - สาเหตุใดทำให้ไตเสื่อมเร็วกว่าปกติ...ไตจะเสื่อมลงตั้งแต่อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นความเสื่อมของร่างกายที่เป็นไปตามวัฏจักรเกิด แก่เจ็บ ตายของสิ่งมีชีวิต
      - จึงไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ ส่วนจะเสื่อมเร็วช้าหรือมากน้อยอาจไม่เท่ากันในแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อาทิ: กรรมพันธุ์ พ่อแม่ไม่แข็งแรงหรือมีลูกตอนอายุน้อยหรืออายุมากเกินไปหรือมีลูกหลายคน หรือคลอดก่อนกำหนด หรือตอนตั้งครรภ์คุณแม่มีอาการเครียด
          - ไม่มีการพักผ่อนและบำรุงอย่างเพียงพอ ทำให้ไตของลูกอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด
          - การมีเพศสัมพันธ์มากเกินควร ทำให้ไตสูญเสียพลังมากไป
          - ประสบอุบัติเหตุ ไตถูกกระทบกระเทือนหรือถูกกระแทกอย่างแรงบริเวณเอว
          - ทำงานหนัก ทำงานเกินกำลังหรือทำงานหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอน
          - โรคเรื้อรังต่างๆ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือด หัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง วัณโรค หน่วยไตอักเสบกรวยไตอักเสบ SLE โรคเกาต์ ฯลฯ
         - ปัจจัยเสี่ยงในชีวิตประจำวัน ผลกระทบจากการใช้ยาเคมี เช่น ยาแก้ปวด ยาคุมกำเนิดยารักษาสิว ยาลดความดัน ฮอร์โมนทดแทน ยาลดความอ้วน ฯลฯ 
         - ความเครียด มลภาวะเป็นพิษ ยาฆ่าแมลงที่ตกค้างในผักผลไม้ สารฮอร์โมนที่สะสมในเนื้อสัตว์ อาหารทะเลที่แช่ ฟอร์มาลินหรือได้รับสารปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อมสารโซเดียม (ผงชูรส ผงฟู ฯลฯ) ที่มีอยู่ตามอาหาร ขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารรสจัด รสเค็ม และเครื่องดื่มที่ผสมสี ฯลฯ
         - ปัจจัยดังกล่าวล้วนทำให้ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วและก่อนวัยอันควร เราจึงพบบ่อยว่าหลายๆคนแม้ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวแต่ก็มีอาการของภาวะไตอ่อนแอ อย่างครบครันเช่นเดียวกับคุณวัลวิภา
ภาวะไตอ่อนแอจะแสดงอาการอย่างไรบ้าง ...
      - ภาวะไตอ่อนแอจะแสดงอาการหลากหลายตามระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจแสดอาการใดอาการหนึ่งหรือหลายๆอาการพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความเสื่อมโทรมของไต อายุ และระยะเวลาที่เรื้อรัง การวินิจฉัยตนเองว่ามีภาวะไตอ่อนแอหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเลย เพียงแค่สังเกตว่าตนเองมีอาการดังนี้หรือไม่ ให้ทำเครื่องหมาย ที่หน้าหัวข้อนั้นๆ หากตรงกับอาการของตน
           - ระบบทางเดินปัสสาวะ
           - ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืนต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ 
           - ปัสสาวะไม่สุด กะปริดกะปรอย
           - อั้นปัสสาวะไม่อยู่
           - น้ำปัสสาวะขุ่นหรือมีฟอง
           - อาการบวมน้ำ (ใช้นิ้วกดบริเวณหน้าแข้งแล้วมีรอยบุ๋ม)
           - ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
           - ปวดหลังปวดเอว แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง
           - ชาปลายมือปลายเท้า
           - เป็นตะคริวบ่อย
           - ปวดข้อเป็นประจำ
           - เป็นโรคเกาต์
           - ภาวะกระดูกพรุน
           - ระบบประสาทและอารมณ์
           - เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย
           - วิงเวียนศีรษะเป็นประจำ
           - นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ตื่นตอนกลางคืนเป็นประจำ
           - แขนขากระตุกในขณะนอนหลับหรือสะดุ้งตื่นเป็นประจำ
           - ฝันทั้งคืน ตื่นเช้าขึ้นมาไม่สดชื่น ไม่อยากลุกจากที่นอน 
           - สภาพภายนอกของร่างกาย
           - ผิวหน้าหมองคล้ำ หยาบกร้าน ไม่มีเลือดฝาด มีฝ้าบนใบหน้า
           - ใต้ตาหมองคล้ำหรือบวม
           - หน้าอกหย่อนยาน
           - ผมหงอกก่อนวัย
           - ผมร่วงเกิน 50 เส้นต่อวันหรือร่วงเป็นจำนวนมากตอนสระผม
           - น้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างฮวบฮาบ
           - อาการทางหู-ตา
           - หูอื้อหรือไม่ค่อยได้ยิน ต้องให้คนอื่นพูดซ้ำเป็นประจำ
           - ตาลาย ตาพร่า
           - โรคเมเนียส์ (น้ำในหูไม่เท่ากัน)
      หากคุณมีมากกว่า 2 อาการแสดงว่าไตของคุณเสื่อมลงแล้ว ยิ่งมีอาการมากเท่าไรไตก็ยิ่งเสื่อมโทรมลงมากเท่านั้น ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของสุขภาพที่คุณควรจะหันมาใส่ใจอย่างจริงจัง
ภาวะไตอ่อนแอ... ป้องกันและรักษาได้อย่างไร
      ถึงแม้ว่าไตจะเสื่อมลงตามวัยซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ถูกสุขลักษณะ และวิธีการบำรุงรักษาที่ถูกต้อง และทันท่วงทีสามารถช่วยชะลอภาวะไตอ่อนแอก่อนวัยอันควรได้อย่างมีประสิทธิภาพ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม เช่นยาฆ่าแมลงที่ตกค้างในผักผลไม้ สารฮอร์โมนที่สะสมในเนื้อสัตว์ 
อาหารทะเลที่แช่ฟอร์มาลินสารโซเดียมที่อยู่ตามอาหาร ขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เช่น ผงชูรส ผงฟู เป็นต้นอาหารรสจัด รสเค็ม อาหารและเครื่องดื่มที่ ผสมสี ฯลฯ  
          - การควบคุมอารมณ์ ควรมีจิตใจที่ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดีและพักผ่อนอย่างเพียงพอ
          - การออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก ช่วยปรับการทำงานของไตกับอวัยวะอื่นๆ ให้สมดุลขึ้น 
          - การมีเพศสัมพันธ์ที่พอเหมาะ หลังมีเพศสัมพันธ์แล้ว ในวันรุ่งขึ้นจะต้องไม่รู้สึกอ่อนเพลียและมีอารมณ์ที่ปลอดโปร่ง
          - หลีกเลี่ยงการใช้ยาเคมีอย่างพร่ำเพรื่อ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมี เช่น ยาแก้ปวดยารักษาสิว ยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมนทดแทน เป็นต้น
          - ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของไตและอวัยวะอื่นๆในร่างกาย จึงควรตระหนักและใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น 
          - ควรรักษาโรคเรื้อรังอย่างจริงจัง โรคเรื้อรังหลายอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงไขมันในเลือดสูง มะเร็ง SLE โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคตับ เป็นต้น จะส่งผลกระทบต่อไตอย่างรุนแรง และเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังด้วย แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีอาการของภาวะไตอ่อนแอแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่เรื้อรังมาเป็นเวลานาน การปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวย่อมไม่เพียงพออย่างแน่นอน การแพทย์จีนจึงเน้นวิธีการบำรุงรักษาไตด้วยยาสมุนไพรจีนเป็นหลัก เมื่อไตแข็งแรงขึ้น สารพัดอาการที่เกิดจากภาวะไตอ่อนแอก็จะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด
การบำรุงรักษาไตทำไมต้องเริ่มตั้งแต่วัยหนุ่มสาว... 
      การบำรุงรักษาไตจำเป็นจะต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ถึงแม้ว่าอายุยังไม่ถึง 30 ปีก็ตาม ไตอ่อนแอในช่วงแรกเราอาจไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติมากมายก็ได้ เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วร่างกายสามารถปรับตัวได้ระดับหนึ่งเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการต่างๆ ของภาวะไตอ่อนแอมักจะเรื้อรังอย่างช้าๆ จนเราคุ้นเคยกับความผิดปกติของร่างกายถึงขนาดลืมไปแล้วว่าตอนเราปกติจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ผลตรวจการทำงานของไตตามหลักการแพทย์ตะวันตกที่ต้องรอให้ไตเสียไปมากกว่า 70% จึงแสดงค่า BUN และ Creatinine ที่ผิดปกตินั้นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าถ้าผลตรวจยังปกติก็แสดงว่าไตยังแข็งแรงอยู่ ทั้งๆ ที่ไตเสื่อมไปมากแล้วก็ตาม จึงทำให้หลายๆ คนชะล่าใจและปล่อยทิ้งไว้ให้เรื้อรังจนพัฒนาเป็นโรคร้ายต่างๆ แล้วค่อยดิ้นรน รักษาด้วยทุกวิถีทาง
การวิจัยสมุนไพรบำรุงไตในทัศนะการแพทย์ปัจจุบัน...จากการวิจัยและทดลองทางการแพทย์และเภสัชวิทยาในปัจจุบันพบว่า การบำรุงไตมีผลดีในการ  สร้างเสริมสุขภาพหลายๆด้าน อาทิ:
      1. ชะลอความชรา 
       เพิ่มความแอ็คทีฟของสาร SOD ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนต์ ทำลายอนุมูลอิสระและลดระดับ LPO ได้อย่างเด่นชัดพร้อมทั้งลดสาร MDA และปริมาณ สารไลโปฟัสซินในตับ สมองหัวใจ ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการชะลอความชรา อนุมูลอิสระก่อให้เกิดความเสื่อมหลายอย่าง เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมของ กระดูก ทำลายผนังหลอดเลือด ทำลายเซลล์สมอง เซลล์ประสาทและจอตา เป็นต้น และที่ร้ายแรงที่สุด คือถ้าอนุมูลอิสระโจมตี DNA จะทำให้เซลล์กลายเป็นเซลล์ มะเร็งได้ในที่สุ
       2. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
       เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวแมคโครเฟจในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัสหรือเซลล์มะเร็ง เป็นต้น ทั้งยังมีส่วนช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันให้อยู่ในภาวะสมดุล จึงมักจะใช้ร่วมกับยารักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เช่นโรคภูมิแพ้ SLE โรคปวดข้อรูมาตอยด์สะเก็ดเงิน เป็นต้น เพื่อเพิ่มอัตราการหายของโรค
       3. ลดอาการอ่อนเพลีย
       ลดระดับยูเรียไนโตรเจน (Urea Nitrogen) ในเลือดและเพิ่มปริมาณการสะสมของไกลโคเจน (Glycogen) จึงสามารถบรรเทาอาการอ่อนเพลียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       4. กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนสำคัญหลายชนิด
       ฟื้นฟูประสิทธิภาพการทำงานของไตและต่อมหมวกไตในการสร้างฮอร์โมนต่างๆที่มีความสำคัญต่อทุกๆ ระบบของร่างกาย อาทิ:
ฮอร์โมน Erythropoietinซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการกระตุ้นไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง การบำรุงรักษาไตจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วย
ลดภาวะโลหิตจางได้ด้วยฮอร์โมน Renin และ Prostaglandin ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยควบคุมความดันโลหิตของร่างกาย การแพทย์จีนจึงนิยมใช้วิธีบำรุงรักษาไตควบคู่กับการรักษาความดันโลหิตสูงเพื่อเพิ่มอัตราการหายของโรคฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) และนอร์อะดรีนาลิน (Nor-adrenaline) ซึ่งมีหน้าที่ในการช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน (Aldosterone) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมระดับเกลือแร่ เช่น โพแทสเซียมหรือโซเดียมให้อยู่ในภาวะสมดุลฮอร์โมนไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) มีหน้าที่ปรับเมตาบอลิซึมของน้ำตาล โปรตีนและไขมัน รวมทั้งการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้เป็นไกลโคเจนซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน ฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน (Androgen) ซึ่งมีการสร้างที่อัณฑะ ฮอร์โมนชนิดนี้สามารถกระตุ้นการเจริญของอวัยวะเพศชาย สัญลักษณ์ทางเพศและสมรรถภาพทางเพศ เร่งให้เชื้ออสุจิเจริญสมบูรณ์เต็มที่ เมื่อผู้ชายอายุย่างเข้า 40 ปี อัณฑะจะลดการสร้างฮอร์โมนเพศชายลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุ สำคัญของอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ การบำรุงไตสามารถกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหายไป จึงบำบัดอาการ หย่อนสมรรถภาพทางเพศและอาการอื่นๆ ในผู้ชายวัยทองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) และโพรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งมีการสร้างที่รังไข่ด้วย เมื่อสตรีเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน รังไข่จะหยุดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงไปเกือบทั้งหมด การบำรุงไตสามารถกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหายไปโดย ไม่ต้องอาศัยฮอร์โมนทดแทน จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาอาการต่างๆ ในสตรีวัยทอง
      5. ลดภาวะกระดูกพรุน
      เพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและปริมาณมวลกระดูกได้อย่างเด่นชัด กระตุ้นการก่อตัวและเพิ่มความแอ็คทีฟของเซลล์สร้างกระดูกใหม่ (Osteoblast) ยับยั้งการก่อตัวและลดความแอ็คทีฟของเซลล์สลายกระดูกเก่า (Osteoclast) พร้อมทั้งแก้ไขภาวะดุลแคลเซียมเป็นลบ(Negative Calcium Balance) จึงบำบัดภาวะกระดูกพรุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      6. ลดความตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเธติก
      ลดความตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเธติก (Sympathetic Nervous System) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อเรียบในอวัยวะภายในและต่อมขับหลั่งต่างๆ หากระบบประสาทซิมพาเธติกตื่นตัวมากเกินไปจะทำให้ความดันโลหิตสูงหัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ ต่อมเหงื่อหลั่งเหงื่อมากขึ้น หลอดเลือดหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง การบำรุงไตจึงทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ไม่อ่อนเพลียง่าย อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ปัสสาวะบ่อยครั้ง นอนไม่หลับ แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง 
ภาวะกระดูกพรุน อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศและอาการอื่นๆ ที่เกิดจากภาวะไตอ่อนแอก็จะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด ระยะเวลาการรักษาอาจ ไม่เท่ากันในแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ ความรุนแรงของอาการและระยะเวลาที่เรื้อรัง...


วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำทับทิม กับนีโอไลฟ์

น้ำทับทิม : เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพยอดฮิต



ทุกท่านคงเคยเห็นลูกทับทิมกันแล้ว เป็นผลไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมมาก ทับทิมสามารถปลูกได้ในประเทศไทย แต่ที่แท้จริงเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) และมีแถบอินเดียตอนเหนือบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ในเมืองไทย ทับทิมดูจะเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่นิยมนำไปถวายแด่พระแม่กวนอิม ในประวัติศาสตร์พบว่าได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้ว ในประเทศเปอร์เซียโบราณมีความเชื่อว่า คุณค่าทางอาหารทุกชนิดที่มีอยู่ในผลไม้ต่างๆ นั้น รวมกันอยู่ในทับทิม ทับทิมเป็นผลไม้ที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย โดยมีการใช้ทับทิมเป็นสัญลักษณ์ของผลไม้ ถือว่าเป็นผลไม้จากสวรรค์หรือเป็นของขวัญจากพระเจ้า ทับทิมในตำราแพทย์สมัยโบราณ ในผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและแคลเซี่ยม ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบฟอกโลหิต และ ระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ในตำราแพทย์โบราณของเปอร์เซีย (ซึ่งถือว่าเป็นต้นตำรับของวิชาแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน) ระบุว่าทับทิมมีประโยชน์ดังต่อไปนี้
* การฟื้นฟูสู่สภาพเดิมของหัวใจและตับ
* การฟอกไตและท่อปัสสาวะ
* สมรรถนะในการส่งเสริมการย่อย
* ขจัดไขมันส่วนเกิด
* เป็นยาบำรุงกำลัง
* ช่วยป้องกันการแพ้ท้อง
* ช่วยปรับฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน
* ปรับปรุงระบบการฟอกและหมุนเวียนโลหิต
* การฟื้นฟูจากโรคเบาหวาน
* สมรรถนะในการกลั้นเสมหะ
* ต่อต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและเพิ่มพลัง
* ป้องกันโรคขี้หลงขี้ลืมในผู้สูงอายุ
* ทำให้ผิวหน้าสวย




การวิจัยทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา พบว่าในน้ำทับทิมมีสารต้านนอนุมูลอิสระหลายชนิด และมีประสิทธิภาพสูงมาก ด้วยความสามารถที่สูงของสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิม มีผลถึงกับมีงานวิจัยที่มีคุณประโยชน์โดยตรงหลาย อย่างไม่ใช่การคาดคะเนอ้อมๆกันอีกต่อไป งานวิจัยแรกพบว่าสารจากน้ำทับทิม สามารถลดภาวะการแข็งตัวของเส้นเลือด จากไขมันในเลือดสูงได้ โดยทำให้การแข็งตัวหรือการสะสมไขมันในเส้นเลือดหนู และในคนด้วยดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางการแพทย์ ยังมีอีกรายงานที่พบว่าไม่เพียงแต่ลดการสะสมไขมันในตัวเส้นลือด แต่ยังทำให้เส้นเลือด ที่หนาตัวและมีไขมันสะสมแล้วซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดีแล้ว มีความหนาตัวลดลง และลดไขมันที่สะสมลงอีกด้วย ผลงานวิจัยดังกล่าวนี้เป็นรายงานใหญ่ที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ที่เชื่อถือได้ และจากการทดลองในผู้ป่วยน้ำทับทิมมีคุณสมบัติ ลดความดันโลหิตได้เล็กน้อยอีกด้วย คือลดได้ประมาณ 5% ในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูง ซึ่งทานน้ำทับทิมวันละ 50 ซีซี เป็นเวลาสองสัปดาห์ อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่ต้องการผลนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทานมากขนาดนั้น สารต้านอนุมูลอิสระในทับทิม ยังบำรุงตับ โดยมีรายงานการให้สารจากทับทิมในหนูทดลองก่อนที่จะให้สารพิษคาร์บอนเตตราคลอไรด์ต่อตับ พบว่าหนุที่ได้รับสารจากทับทิมมีฤทธิ์ป้องกันการเป็นพิษต่อตับได้จริง (Hepatoprotectiv effect) ยังมีงานวิจัย ด้วยน้ำทับทิม ทั้งในรูปน้ำสดและผ่านการหมักต่อเซลล์มะเร็งหน้าอกของคน (Human breast cell) พบว่ามีฤทธิ์ในการ ยับยั้งของเซลล์มะเร็งได้จริงอีกด้วย

ในประเทศญี่ปุ่นมีรายการแนะนำทับทิมทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ว่า ทับทิมมีสรรพคุณในการบรรเทาโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มพลัง เพิ่มความงาม และประโยชน์อื่นอีกมากมาย ทำให้ทับทิมเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง สภาพตลาดทับทิมระหว่างประเทศ ในปัจจุบัน ได้มีการค้นคว้าและแปรรูปทับทิมมากมายจากหลายประเทศทั่วโลก เช่น ในประเทศเยอรมันมี นอกจาก จะมีการผลิตสินค้าจากน้ำทับทิมเข้มข้นแล้ว ยังได้นำเมล็ด ใบ และดอก มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าหลากหลายชนิด น้ำทับทิมจึงเป็นน้ำผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีคุณประโยชน์ และเป็นของที่มาจากธรรมชาติ นับเป็นหนึ่งในอาหารสุขภาพที่มีผลบำรุงร่างกายที่แท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แก้อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ต้องชุดพื้นฐานนีโอไลฟ์


ต้องอาศัยธรรมชาติบำบัดเข้าช่วย ด้วยชุดพื้นฐานนีโอไลฟ์



(1). Cut out caffeine = งดกาเฟอีน
  • งดอาหารและเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน โดยเฉพาะกาแฟ
...
  • กาเฟอีนออกฤทธิ์กระตุ้นได้นานจนถึง 7 ชั่วโมง และอาจนานขึ้นถ้ากินยาคุมกำเนิด ทำให้สารสื่อสมองที่ทำให้หลับทำงานได้น้อยลง และกระตุ้นฮอร์โมนเครียดจากต่อมหมวกไต
  • แอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ) ก็ร้ายพอๆ กัน เนื่องจากทำให้สมองได้รับออกซิเจนน้อยลง นอกจากนั้นเครื่องดื่มกลุ่มนี้หลายชนิดยังมีน้ำตาลสูงอีกด้วย
...
(2). Cut out sugar = งดน้ำตาล
  • น้ำตาลทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเครียดมากขึ้น
...
  • ถ้าอยากดื่มอะไรที่หวานๆ จริง... ควรลอง "สมูตตี (smoothie)" หรือใช้ผลไม้ทั้งผลปั่น ไม่กรองกาก (ไม่ใช่น้ำผลไม้กรอง)
  • เวลาดื่มน้ำผลไม้ปั่นทั้งผล... ไม่ควรจิบช้าๆ เนื่องจากกรดผลไม้อาจทำให้ฟันสึกได้
... 
  • ทางที่ดีคือ ดื่มให้เร็วหน่อย บ้วนปากแรงๆ หลายครั้งหลังดื่มทันที ไม่แปรงฟันก่อน 30-60 นาที เนื่องจากหลังดื่มน้ำผลไม้ หรือกินผลไม้ใหม่ๆ เคลือบฟันจะอ่อนลงชั่วคราว ถ้าแปรงทันทีอาจทำให้ฟันสึกได้ง่าย
  • ควรกิน "ซูเปอร์ฟูด (superfood = อาหารคุณค่าสูง)" เช่น เบอรี (เมืองไทยเรามี 'mulberry' = ลูกหม่อน) บรอคโคลี ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายกลับคืนสู่สมดุล (rebalance) ได้เร็ว
...
(3). No processed fats = ไม่กินไขมันแปรรูป
  • ไขมันแปรรูปหรือไขมันทรานส์ (trans fats = ไขมันเติมไฮโดรเจน เช่น เนยขาว ครีมเทียม คอฟฟี่เมต) พบมากในอาหารจานด่วน (ฟาสต์ฟูด) อาหารสำเร็จรูป ขนมกรุบกรอบ เบเกอรี
...
  • ไขมันทรานส์ทำให้โคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดลง เพิ่มโคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) และมีส่วนทำให้สุขภาพสมอง ตา ข้อ และผิวหนังแย่ลง
... 
(4). Eat early, eat well = กินแต่เช้า และกิน(อาหาร)ดีๆ
  • ร่างกายคนเรามีระดับการเผาผลาญอาหารสูงสุดในช่วงเที่ยงวัน... อาหารที่ดีคือ อาหารที่กินแต่เช้า (ภายในชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน)
...
  • ควรกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยงเป็น "มื้อหลัก" หนักไปทางโปรตีน (ถั่ว โปรตีนเกษตร เนื้อไม่ติดมัน ไข่ นมไขมันต่ำ) และไขมัน
  • อาหารมื้อเย็นควรเป็นมื้อเล็กหน่อย หนักไปทางคาร์โบไฮเดรต (คาร์บ = ผลไม้ ผัก ธัญพืช) ที่มีคุณค่าสูง เช่น ผลไม้ทั้งผล (ไม่ใช่น้ำผลไม้กรอง) ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี (เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ฯลฯ)
...
  • อาหารกลุ่มคาร์บช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย (relax) หลับสบาย และช่วยล้างพิษ (detoxity) ในช่วงที่เราหลับอยู่
...
(5). Make your food more colourful = ทำให้อาหารมีสีสัน หรือกินอาหารหลากสี
  • การกินพืชผักหลากสี ซึ่งทำได้ง่ายๆ โดยเทียบสีรุ้ง "ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง" หรือสีไฟจราจร "เขียว เหลือง แดง" แถมสีขาวของแสงแดด (ผักผลไม้ที่มีสีออกไปทางขาว เช่น หอม กระเทียม กล้วย ฯลฯ) และพยายามกินให้ได้ 5 สีขึ้นไปทุกวัน
...
  • การกินพืชผักหลากสีทำให้ได้สารคุณค่าพืชผัก หรือพฤกษเคมี (phytonutrients) ซึ่งช่วยป้องกันโรค ต้านการอักเสบ (ธาตุไฟกำเริบ) ล้างพิษ และช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมน
  • สารคุณค่าพืชผักตามธรรมชาติออกฤทธิ์แบบเสริมกัน ดังนั้นการกินธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ฯลฯ (การกินข้าวหลายสายพันธุ์มีแนวโน้มจะดีกับสุขภาพเช่นกัน) ผัก ผลไม้ ถั่ว เห็ดให้ได้วันละหลายๆ อย่างจะดีกับสุขภาพมากกว่าการกินอาหารอย่างเดียวมากๆ
...
(6). Sleep smarter = นอนให้เป็น หรือนอนอย่างฉลาดขึ้น (smart = ฉลาด; smarter = ฉลาดมากกว่า)
  • กฏข้อแรกของการนอนให้ดีขึ้นคือ ไม่ดู TV บนเตียง และไม่ใช้เตียงทำอะไรอย่างอื่น ยกเว้นการนอนกับเพศสัมพันธ์
...
  • พวกเราส่วนใหญ่มีธรรมชาติ "ไวต่อแสง" เพราะฉะนั้นกลางคืนควรหรี่แสง นั่นคือ ค่ำลงอย่าเปิดไฟจ้า เวลานอนปิดไฟ และพยายามอย่าให้แสงภายนอกเข้าไปในห้องนอน
  • ตรงกันข้ามกลางวันควรรับแสง... เมื่อตื่นนอนขึ้นมาควรเปิดไฟที่คล้ายแสงธรรมชาติ (หลอดไฟแต่ละรุ่นมีแสงคล้ายแสงธรรมชาติไม่เท่ากัน แสงไฟกลุ่ม 'cool white' จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า 'daylight' - ผู้เขียน) หรือเปิดประตู-หน้าต่างรับแสงธรรมชาติเข้ามาในบ้าน เพื่อให้นาฬิกาเวลาทำงานได้ดี
...
(7). Breathe properly = หายใจให้เป็น (breathe = หายใจ; properly = อย่างเหมาะสม ถูกวิธี)
  • หาเวลาสบายๆ ก่อนนอนทำ 'breathing break (breathing = การหายใจ; break = เบรค ช่วงพัก)' หรือทำการหายใจแบบสบายๆ
...
  • วิธีการฝีก "หายใจแบบสบายๆ" ทำได้โดยการหาที่นั่งเงียบๆ ขอเวลาให้ตัวเองสัก 5 นาที นั่งตัวเกือบตรง (หลังไม่งอ และไม่เกร็ง)
  • วางมือข้างหนึ่งไว้ที่หน้าอกเบาๆ วางอีกข้างไว้ที่หน้าท้องเบาๆ...
... 
  • หายใจเข้าช้าๆ เวลาหายใจเข้าให้ทำความรู้สึกว่า "หายใจเข้า ฉันผ่อนคลาย" , เวลาหายใจออกให้ทำความรู้สึกว่า "หายใจออก ฉันผ่อนคลาย"
  • สังเกตการเคลื่อนไหวของมือที่วางไว้บนหน้าท้อง... เวลาหายใจเข้า ท้องควรจะป่องออกเล็กน้อย ถ้าหายใจเข้าแล้วท้องไม่ป่องออกเลย แสดงว่า ยังหายใจไม่เป็น... ไม่ต้องตกใจ ขอให้หายใจช้าลง ร่างกายจะเริ่มผ่อนคลาย แล้วท้องจะป่องออกมาเล็กน้อยเวลาหายใจเข้าได้เอง
...
  • เรื่องหายใจนี้... คนไทยมีแนวโน้มจะรู้สึกว่า ท้อง "ยุบเข้า-พองออก (in-and-out)" คนชาติอื่นๆ ทั้งชาวพม่าและฝรั่งจะรู้สึกว่า ท้อง "สูงขึ้น-ลดลง (up-and-down)" ถนัดแบบไหนใช้ได้ทั้งนั้น...
...
(8). Choose gentle exercise = เลือกออกกำลังแบบนุ่มนวล
  • การออกกำลังแบบตะวันออก เช่น โยคะ มวยจีน ไทชิ-ไทเกก รำกระบองชีวจิต ฯลฯ ช่วยกำจัดความเครียด ทำให้ผ่อนคลาย ช่วยให้ท่าทางดีขึ้น
...
(9). Soak up the sun = อาบแสงแดดอ่อน
  • แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า (ก่อน 9.00 น.) และยามเย็น (หลัง 16.00 น.) ให้พลังในการบำบัดสูงมาก



วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

7 ท่าบริหารคลายเมื่อยคอสำหรับคนทำงาน

อาหารเสริมนีโอไลฟ์ ช่วยบำบัดสุขภาพ ร่างกายแข็งแรง กระปรี้กระเป่า

7 ท่าบริหารคลายเมื่่อยคอสำหรับคนทำงาน




เป็นที่ทราบกันดีว่า คนรุ่นใหม่มีความเสี่ยงที่จะต้องทำงานประเภท "ก้มๆ เงยๆ" มากขึ้น เช่น คนทำงานก่อสร้าง ช่าง หรือคนทำงานในโรงงานต้องเงยหน้าทำงาน (เช่น ตอกตะปู ติดตั้งหลอดไฟ เก็บของขั้นชั้นวางของ ฯลฯ) ฯลฯ
ตรงกันข้ามคนทำงานออฟฟิซหรือสำนักงานตลอดจนชาวไร่ชาวนากลับต้องก้มหน้าก้มตาทำงาน พิมพ์งาน... ภาวะการทำงานก้มๆ เงยๆ วันละนานๆ มีส่วนทำให้เสี่ยงต่ออาการปวดคอ เมื่อยคอ เมื่อยไหล่ หรือบางทีอาจจะปวดหัวได้ (บางครั้งความเจ็บป่วยที่คออาจทำให้ปวดหัวบริเวณท้ายทอยได้)
...
ภาพกระดูกสันหลังส่วนคอ > [ Wikipedia ]
  • ส่วนสีเขียวเป็นหมอนรองกระดูกสันหลังที่บอบบาง และอาจจะแตกหรือปลิ้นได้ โดยเฉพาะกระดูกสันหลังส่วนเอว
  • ส่วนสีน้ำตาลอ่อนเป็นกระดูกสันหลัง
  • ส่วนสีม่วงเป็นเส้นประสาทไขสันหลังที่อาจถูกส่วนของกระดูกเสื่อมที่ยื่นออกมาคล้ายหนามกด หรือส่วนของหมอนรองกระดูกสันหลังที่แตกหรือปลิ้นออกกดได้
...
สำนักพิมพ์หมอชาวบ้านตีพิมพ์หนังสือเรื่อง "ปวดคอ" เขียนโดยท่านอาจารย์ รศ.สุรศักดิ์ ศรีสุข, รศ.พญ.เล็ก ปริวิสุทธิ์, และรศ.นวลอนงค์ ชัยปิยะพร เพื่อส่งเสริมสุขภาพคนไทย
ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
...
ความแข็งแรงของคอคนเราต้องอาศัยกระดูกที่แข็งแรง ซึ่งเปรียบเสมือนเสาวิทยุที่อยู่ตรงกลาง ด้านรอบกระดูกมีกล้ามเนื้อและเอ็นสำคัญๆ พยุงอยู่ 4 ด้าน เปรียบคล้ายลวดสลิงที่ขึงอยู่รอบๆ เสาวิทยุ
การที่คอคนเราจะแข็งแรงได้จึงต้องอาศัยทั้งกระดูก และโครงสร้าง (กล้ามเนื้อและเอ็น) 4 ทิศทางช่วยพยุงไว้ได้แก่ ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย และด้านขวา
...
การบริหารกล้ามเนื้อและเอ็นที่พยุงลำคอไว้อาศัยการออกแรง-ออกกำลัง 3 รูปแบบได้แก่
(1). การบริหารแบบแอโรบิค (aerobic exercise) เพื่อสร้างความแข็งแรงพื้นฐาน เช่น เดิน เดินเร็ว เดินขึ้นลงบันไดตามโอกาส วิ่งเหยาะ(จอกกิ้ง) ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ฯลฯ อาจารย์ท่านแนะนำเคล็ดไม่ลับว่า เวลาออกกำลังให้พยายามรักษา "คอ" ไว้ให้ตรง จึงจะได้ผลในการป้องกันอาการปวดคอได้ดีที่สุด
...
(2). การยืดเส้น หรือการบริหารประเภท "ยืด-เหยียด (stretching exercise)" เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
  • ธรรมชาติของสิ่งที่ยืดหยุ่นได้นั้นมักจะไม่เปราะ และไม่แตกง่าย... ชีวิตคนเราก็คล้ายๆ กัน
...
(3). การบริหารเพื่อสร้างความแข็งแรง (strengthening exercise)
  • การบริหารเพื่อสร้างความแข็งแรงช่วยให้โครงสร้างแข็งแรง จึงนิยมเรียกการบริหารกลุ่มนี้ว่า เป็นการบริหารโครงสร้าง (core exercise) ไปด้วย เนื่องจากถ้าโครงสร้างที่พยุงหรือเจ้าลวดสลิง (กล้ามเนื้อและเอ็นลำคอ)แข็งแรง โครงสร้างหลักหรือเจ้าเสาวิทยุ (กระดูกคอ) ก็จะพลอยแข็งแรงมั่นคงไปด้วย
...
ต่อไปจะขอเข้าสู่การบริหารชุดแรกคือ การยืดเหยียดหรือยืดเส้น (stretching exercise) 4 ทิศ (หน้า-หลัง-ซ้าย-ขวา)
ทุกท่าให้ทำช้าๆ ทำแล้วค้างไว้ประมาณ 20 วินาที หรือนับ 1-20 ช้าๆ ขากลับก็ให้เคลื่อนลำคอกลับช้าๆ การรักษาสุขภาพนั้นอาศัยความอ่อนนุ่ม ทะนุถนอม ไม่ใช่ความรุนแรง ท่าทั้ง 4 ได้แก่
...
(1).  ท่ายืดเหยียดลำคอด้านข้างดังภาพ
...
(2).  ท่ายืดเหยียดลำคอ หันซ้าย-ขวาดังภาพ
...
(3).  ท่ายืดเหยียดก้มเงยลำคอดังภาพ
ต่อไปเป็นท่าบริหารเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง 4 ท่าได้แก่
(1). ท่าเสริมสร้างความแข็งแรงลำคอด้านหน้า
...
(2). ท่าเสริมสร้างความแข็งแรงลำคอด้านหลัง
(3). ท่าเสริมสร้างความแข็งแรงลำคอด้านข้าง (กล้ามเนื้อเอียงคอ)
  • ท่านี้เริ่มต้นจากการยืนหรือนั่ง คอตรง
  • ใช้มือข้างหนึ่งวางไว้เหนือใบหู (ฝ่ามืออยู่ระดับสูงกว่าใบหู)
  • ออกแรงดันดันหัวไปด้านตรงข้าม
  • เกร็งคอต้านไว้
  • ให้ทำท่านี้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
...
(3). ท่าเสริมสร้างความแข็งแรงลำคอด้านข้าง (กล้ามเนื้อหันหน้า)

  • ท่านี้เริ่มต้นจากการยืนหรือนั่ง คอตรง
  • ใช้มือข้างหนึ่งวางไว้หน้าใบหู (ฝ่ามืออยู่ระดับเดียวกับใบหู)
  • ออกแรงดันดันหัวไปด้านตรงข้าม
  • เกร็งคอต้านไว้
  • ให้ทำท่านี้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

...
ท่าบริหารเหล่านี้ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือดีที่สุดคือ ท่าบริหารยืดเหยียดให้ทำทุกวัน ส่วนท่าบริหารเสริมสร้างความแข็งแรงทำวันเว้นวัน
และอย่าลืมว่า ถ้าจะดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือ... อย่านอนดู เนื่องจากคอจะเอียง ทำให้กระดูกคอเสื่อมเร็ว กล้ามเนื้อคอต้องเกร็งตัวนานๆ ทำให้เกิดความเมื่อยล้า เมื่อยคอ ปวดหัว หรือวิงเวียนศีรษะได้
...
อาจารย์แพทย์แห่งสถาบันเมโยคลินิกแนะนำวิธีป้องกันปวดคอง่ายๆ 6 วิธีได้แก่
(1). อย่านั่งนานเกิน > ให้พักหรือเบรคทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ควรลุกไปเดิน ยืน หรือยืดเส้นยืดสายมากกว่านั่งติดต่อกันนานๆ
...
(2). ถ้าใช้คอมพิวเตอร์นานๆ > ควรจัดให้ส่วนบนของจออยู่ใกล้ระดับสายตา อย่าให้ต่ำเกิน เพื่อจะได้ไม่ต้องก้มคอนานๆ
(3). อย่าเอียงคอพูดโทรศัพท์ > ให้ใช้หูฟังหรือเครื่องต่อบลูทูธ เพื่อลดความเมื่อยล้าของลำคอ
...
(4). ยืดเส้นยืดสายเป็นประจำ > ดีที่สุดคือ วันละ 2 ครั้ง น้อยที่สุดคือ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
(5). บริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง > ทำตามท่าบริหารในบทความตอนนี้ได้เลย
...
(6). อย่านอนคว่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่านอนคว่ำดู TV > ให้นั่งเก้าอี้ดูแทน หรือจะขี่จักรยานออกกำลังไปดูไปได้ยิ่งดี จะได้ออกกำลังไปพร้อมๆ กัน
ท่านอนที่ดีกับสุขภาพกระดูกสันหลังมี 2 ท่าได้แก่ ท่านอนตะแคงกอดหมอนข้างขนาดเล็ก และท่านอนหงายมีหมอนขนาดเล็กรองใต้เข่า
...
วิธีที่ดีมากๆ คือ นั่งดูโทรทัศน์ในท่านั่งเก้าอี้ เหยียดขาให้เข่าเกือบๆ ตรงไปทางด้านหน้า เตะขาคล้ายๆ เวลาคนว่ายน้ำ ให้ขาข้างหนึ่งขึ้น ขาอีกข้างลง แบบนี้จะทำให้กล้ามเนื้อหน้าขาแข็งแรง ข้อเข่าได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น ทำบ่อยๆ ข้อเข่าจะแข็งแรง
อย่าลืมว่า เรื่องปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง หรือปวดเมื่อยตามร่างกายนี้... ไม่ใช่หมอจะช่วยพวกเราได้เสมอไป ตัวเราต้องช่วยตัวเราด้วย
...
นอกจากนั้นนักกายภาพบำบัดท่านมีวิธีการดูแลรักษาดีๆ มากมาย จึงควรหาโอกาสปรึกษานักภายภาพบำบัดถ้าอาการไม่ดีขึ้น
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
...

ขอขอบคุณ เนชั่นโอเคดอทเน็ท

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หน้าสวยใส ด้วยเพียวเซ็นส์เต้ นีโอไลฟ์




ไม่อยากหน้าแก่ก่อนวัย เคล็ดลับดีๆ 7 วิธีแบบฉบับคุณหมอ สมัยนี้สาวๆ มีการดูแลตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องดีเลยที่เดียว แต่ถ้าใครไม่ได้ดูแลตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก วันนี้เรามีเคล็บฉบับคุณหมอมาฝากกัน

วัยรุ่นสมัยนี้รักสวยรักงาม ดูแลตัวเองกันตั้งแต่เล็กๆ … งั้นเรามาดู วิธีชลอความแก่ ดีๆ ที่คุณหมอแนะนำกันมาดีกว่า  ถ้าไม่อยากแก่ก่อนวัยลองอ่านกันดูนะจ๊ะ
1.   ข้อแรก ยาแอสไพริน ช่วยให้คุณสาวขึ้นได้ แต่ต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น จริง ๆ แล้ว สรรพคุณของยาแอสไพริน มันมีมากกว่าการแก้ปวดหัว เพราะมันยังช่วยป้องกันโรคคนแก่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ช่วยลดความเสี่ยงโรคความจำเสื่อมและมะเร็งด้วย การรับประทานยาแอสไพรินวันละ 325 มิลลิกรัม จะช่วยชลอความร่วงโรยได้ 1.9 ปี แต่ขอเน้นว่าปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

2.  ข้อถัดมาเป็นเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์  นอกจากคุณจะต้องพิจารณาประกอบกิจกรรมนี้ด้วยความปลอดภัยแล้ว ผู้เชี่ยวชาญเขาแนะนำว่า อยากหนุ่มอยากสาวกว่าวัย ก็ให้มีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละสองครั้งเป็นอย่างน้อย ถ้าหาปฏิบัติได้ จะช่วยชลอความชราได้ 1.6 ปี

3.  การใช้ไหมขัดฟัน  ฟังดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับความแก่เลย แต่จริงๆแล้วเคยมีการวิจัยออกมาว่า การใช้ไหมขัดฟัน ทำให้เราสวย สดใส ดูอ่อนกว่าวัยได้ เพราะมันช่วยป้องกันโรคร้ายหลายอย่าง เช่น โรคหัวใจ ความจำเสื่อม เหงือกอักเสบ ก็แบคทีเรียบางอย่างสามารถที่จะเติบโตและพัฒนาในปากและเหงือกของเรา ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ ชลออายุได้ถึง 6.4 ปีเลยทีเดียว

4.  เลี้ยงสัตว์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัข ก็ทำให้เราเป็นหนุ่มเป็นสาวได้เหมือนกัน เพราะนอกจากมันจะให้ความสุขทางใจ คอยเป็นเพื่อนเราแล้ว มันยังทำให้เรายุ่งด้วย ไหนจะอาบน้ำทำความสะอาด หาอาหารให้มันกิน หรือพามันออกไปเดินเล่นวิ่งเล่น การเลี้ยงสัตว์เนี่ย ทำให้เราต้องออกกำลังกายด้วยการเดินแบบเลี่ยงไม่ได้เลย วิธีนี้ช่วยให้เราอ่อนวัยลงได้ 9 เดือน

5.  การรับประทารผลบลูเบอรี่ช่วยเราได้  เพราะมันเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการแอนตี้ อ๊อกซิแดนท์ นอกจากจะกันแก่แล้ว ยังลดความเสี่ยงต่อมะเร็งด้วย ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่เพียงแค่บลูเบอรี่เท่านั้น ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว แต่คุณสมบัติที่ว่านี้ มีอยู่ในผลไม้ทุกชนิด รับประทานเป็นประจำ ชลออายุได้ 1.6 ปี

6.  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทำให้ร่ายการของเราสมบูรณ์แข็งแรง กระฉับกระเฉงค่ะ รักษาสมดุลย์ของน้ำหนักและส่วนสูง อย่าปล่อยให้อ้วนจนเกินไป การออกกำลังกายนั้น ช่วยให้เราดูอ่อนกว่าวัยถึง 1.7 ปีค่ะ

7.  วิธีสุดท้าย ก็คือการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์   นักวิทยาศาสตร์แนะนำให้ดื่มวันละเล็กน้อย เช่นไวน์วันละแก้ว และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ซึ่งถ้าทำได้เราจะดูเด็กกว่าวัยไป 2.3 ปี ในทางกลับกัน ถ้าหากเราดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์มากเกินไป นั่นจะทำให้เราแก่กว่าวัยอีกหลายเท่าตัว
ทุกข้อที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่ว่าคุณหมอแนะนำมาแล้ว เพื่อนๆ จะหักโหมยัดเยียดสิ่งเหล่านี้เข้าร่างกายตัวเองกัน .. ยิ่งข้อสุดท้ายเนี่ย ถ้าดื่มเยอะไปอันตรายถึงชีวิตแน่นอน แค่วันละเล็กน้อยก็พอแล้ว





วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สารสกัดจากปลิงทะเล นีโอไลฟ์

สนใจติดต่อธุรกิจขายตรงนีโอไลฟ์ คุณนพพงษ์ โทร.085-9893425
http://ads.neolifeonlinecenter.com/?id=tong






ปลิงทะเล (Sea cucumber) เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ลำตัวนิ่มและรูปร่างคล้ายแตงกวาจัดอยู่ในตระกูล Holothurioidea ในไฟลัมเอคไคโนเดิร์ม (Echinoderm) เหมือนปลาดาวและหอยเม่นทะเล ปัจจุบันพบมากกว่า 1250 ชนิดทั่วโลกสารประกอบสำคัญในปลิงทะเล เช่น มิวโคโพแซคคาไรด์ (mucopolysaccharides),คอนดรอยติน (chondroitins), โปรตีน ซาโปนิน (saponin), กรดไขมันมวิตามินเอ, วิตามินบี1, บี2, บี3 และวิตามินซี รวมถึงแร่ธาตต่างๆ เช่นแคลเซียม, ธาตุเหล็ก, แมกนีเซียม และสังกะสี
ปลิง ทะเลเป็นที่รู้จักของชาวจีนมาเป็นเวลานานเนื่องจากใช้ในการทำเป็นอาหาร และจากตำราแพทย์แผนโบราณของจีนกล่าวว่า ปลิงทะเลอุดมไปด้วย blood and vital essence (jing) ชาว จีนจึงใช้ปลิงทะเลในการรักษาอาการอ่อนเพลียจากความชรา ความผิดปกติของไตและระบบสืบพันธุ์ เช่น เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ, ปัสสาวะบ่อย, ท้องผูกเนื่องจากลำไส้แห้ง เป็นต้น

ประโยชน์ของปลิงทะเล

1.ลำตัวของปลิงทะเลมีลักษณะเป็นกระดูกอ่อน เป็นแหล่งของมิวโคโพลิแซคคาไรด์ (mucopolysaccharides) ที่สำคัญ คือ Chondroitin sulfate ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือน Glucosamine sulfate จาก การศึกษาพบว่า การรับประทานปลิงทะเลอบแห้ง 3 กรัม จะช่วยลดอาการปวดข้อจากข้ออักเสบได้ นอกจากนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นยังมีสิทธิบัตรของการใช้ Chondroitin sulfate ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอดส์ด้วย
2.กรดไขมันในปลิงทะเลเช่น eicosapentaenoic acid (EPA) และ docosahaenoic acid (DHA) ช่วยลดไขมันในหลอดเลือดชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ทั้งยังช้วยบำรุงสมอง อีกด้วย
3.สารประกอบซาโปนิน (saponin) (triterpene glycoside) และ acid mucopolysacharide ที่สกัดจากปลิงทะเลบางชนิดมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองได้
นอก จากสรรพคุณดังกล่าวข้างต้นแล้ว ปลิงทะเลยังใช้เป็นตัวช่วยในการรักษาและมีการแนะนำให้ใช้ในโรคอื่นๆเช่น ความดันโลหิตสูง, ริดสีดวงทวาร, ท้องผูก, แผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น

ข้อควรระวังในการบริโภคปลิงทะเล

ผู้ ที่แพ้อาหารทะเล อาจต้องหลีกเลี่ยงในการรับประทานสารสกัดจากปลิงทะเล หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน